กำเนิดอาณาจักร
- Technique : Oil on canvas
- ขนาด : 300 x 500 cm
- ปี : 2023
กำเนิดอาณาจักร โดย ธณฤษภ์ ทิพย์วารี
“แท้ที่จริงแล้ว ผมไม่ใช่ตัวผมเสียทั้งหมด ร่างกาย ความคิดและความรู้สึกของผม คือ การหลอมรวมกันของพันธุกรรมของพ่อแม่และบรรพบุรุษของพ่อแม่อีกทีหนึ่ง. แล้วความคิด ความเชื่อ และทัศนคติของผมมาจากไหน. ผมจึงเริ่มเดินทางย้อนสายธารทางประวัติศาสตร์ เพื่อสำรวจรากเหง้าของสิ่งที่ส่งประกอบสร้างตัวผม ผมเริ่มอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ทั่วไป. ท้ายที่สุด ผมพบว่า. ทุกการค้นหาไปสิ้นสุดที่การก่อกำเนิดสุวรรณภูมิ…”
หากอ้างอิงกับพื้นที่ในเวลาปัจจุบัน สุวรรณภูมิเป็นดินแดนแผ่นดินใหญ่ภาคพื้นทวีปของอุษาคเนย์ โดยไม่ระบุจำเพาะเจาะจงที่ใดที่หนึ่ง ครอบคลุมมาเลเซีย ไทย เมียนมาร์ กัมพูชา เวียดนาม และลาว แต่หากพิจารณาทางวัฒนธรรมแล้ว. อารยธรรมของสุวรรณภูมิมิได้จำกัดอยู่ภายในพื้นที่ แต่มีการเคลื่อนที่ เลื่อนไหลและถ่ายเทตั้งแต่ เอเชียกลางไปจนถึงจีนและญี่ปุ่นในเวลาปัจจุบัน การเดินทางและเคลื่อนที่ของมนุษย์ในทวีปเอเชียนี้ก่อให้เกิดพลวัตที่มีนัยยะสำคัญ. เป้าประสงค์แรกๆของการเดินทางอาจจะเป็นเพราะต้องการเดินทางมาค้าขาย หรือแสวงหาทรัพยากรอื่นๆ ดั่งที่ชาวอินเดียรู้จักต่อเรือขนาดใหญ่และรู้จักวิถีของลมมรสุม สิ่งที่เดินทางไปพร้อมกับผู้คน ได้แก่ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และศาสนา อาจกล่าวได้ว่า การเดินทางเพื่อเหตุผลทางการค้าทำให้เกิดพลวัตทางวัฒนธรรมในเวลาเดียวกัน อันเป็นปัจจัยสำคัญในการประกอบสร้างทำให้เราเป็นเรา และส่งต่อสู่คนรุ่นหลัง
กำเนิดอาณาจักร แสดงให้เห็นผืนแผ่นดิน ศิลปินอ้างอิงแผนที่ปัจจุบันและแผนที่โบราณ ซึ่งถูกเขียนขึ้นโดยปโตเลมีผู้มีชีวิตอยู่ที่เมือง Alexandria เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 8 แผ่นดินแสดงให้เห็นสองแหล่งอารยธรรมในอดีต โดยมีตัวอักษรภาษาสันสกฤต “ชมพูทวีป” และ “สุวรรณภูมิ” กำกับอยู่ตรงกลางของแหล่งอารยธรรมทั้งสองนั้น ศิลปินได้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองอารยธรรมเชื่อมโยงกันด้วยการเดินทางด้วยเรือในมหาสมุทร ภายในอารยธรรมทั้งสอง ศิลปินได้วางตำแหน่งบุคคลทางประวัติศาสตร์ บุคลาธิษฐาน สถานที่ สถาปัตยกรรม และโบราณวัตถุอีกมากมาย ให้ตรงกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เขาได้ศึกษามา อีกทั้งธณฤษภ์ยังได้วาดภาพของภาพเขียนโบราณ ภาพถ่ายโบราณ และรูปดาราภาพยนตร์ร่วมสมัยที่กำลังสวมบทบาทของบุคคลทางประวัติศาสตร์ และบุคลาธิษฐานที่มีอยู่ในวรรณกรรมของชมพูทวีปและสุวรรณภูมิอีกด้วย
เนื้อหาหลักที่ถูกนำเสนอในผลงานจิตรกรรม กำเนิดอาณาจักร คือประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นที่อินเดีย ย้อนไปราว 4,000 ปี เนื่องจากประวัติศาสตร์มีความสลับซับซ้อน. ศิลปินจึงคัดเลือกเนื้อหาที่มีความสำคัญมานำเสนอผ่านภาษาจิตรกรรม. งานเขียนนี้จึงมุ่งแนะนำแต่ประเด็นใหญ่ๆพอสังเขป ดังนี้
กำเนิดอาณาจักร นำเสนอศาสนาที่เก่าแก่ของชมพูทวีป ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์ ซึ่งมีวิวัฒนาการมาพร้อมกับมาของชาวอารยัน พวกเขานับถือภูตผีปีศาจและอำนาจของธรรมชาติที่อธิบายไม่ได้ ต่อมาจึงมีทำรูปเคารพเทพ เช่น พระอินทร์ พระวรุณ และพระอัคนี เพื่อเป็นการรวบรวมคำสวดอ้อนวอนต่อเทพ คัมภีร์พระเวทจึงเกิดขึ้น เป็นคัมภีร์สำคัญของศาสนาฮินดูในอนาคต ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่สืบเนื่องมาจากศาสนาพราหมณ์โดยหลายนิกาย ได้แก่ นิกายไศวะนับถือพระศิวะสูงสุด นิกายไวศณพนับถือพระวิษณุ (พระนารายณ์) สูงสุด นิกายศักตินับถือพระเทวีหรือชายาของมหาเทพต่างๆ นิกายคณะพัทยะนับถือพระพิฆเณศสูงสุด นิกายสรภัทธะพระอาทิตย์สูงสุด และนิกายสมารธะนับถือเทพทุกองค์ในศาสนาฮินดู ภาพจิตรกรรม “กำเนิดอาณาจักร” แสดงให้เห็นเหล่ามหาเทพของฮินดู อยู่บนสุดของภาพ ในตำแหน่งของเทือกของหิมาลัย ตามความเชื่อ เทือกของหิมาลัย คือ เขาไกรลาสที่ประทับของพระศิวะและพระแม่ปาวรตี แวดล้อมด้วยป่าหิมพานต์
กำเนิดอาณาจักร ยังได้แสดงเนื้อหาและอิทธิพลของวรรณกรรมที่สำคัญในสมัยมหากาพย์ (1,000-500 ปีก่อนคริสตกาล) ได้แก่ มหากาพย์รามายณะ และ มหากาพย์มหาภารตะ มหากาพย์ทั้งสองแม้จะจัดให้อยู่ในประเภทของวรรณกรรม แต่ก็มีความสำคัญ เพราะผู้แต่งได้บันทึกทั้งความเป็นอยู่และการทำสงครามในสมัยนั้นไว้ด้วย
มหากาพย์รามายณะแต่งโดยฤาษีวัลมีกิ เป็นวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่และแพร่ไปหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ในเมืองไทยเรียกว่า “รามเกียรติ์” ในลาวเรียกว่า“พระลักษณ์พระราม” ในอินโดนีเซียเรียก “รามายณะ” เนื้อเรื่องกล่าวถึงสงครามที่นำโดยพระรามและพระลักษณ์ร่วมมือกับกองทัพวานรเพื่อแย่งตัวนางสีดาคืนจากยักษ์ราวณะ (ในไทยเรียกท้าวทศกัณฑ์) ธณฤษภ์ได้เขียนภาพตัวละครที่สำคัญ ได้แก่ “พระราม” และเรื่องราวบางส่วนของรามายณะ ไปตามพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมเรื่องนี้ เช่น ฝั่งชมพูทวีปในตำแหน่งของประเทศศรีลังกา ศิลปินได้เล่าเรื่องที่กรุงลงกา เมื่อเหล่ายักษ์ที่กำลังตะลุมบอนกับกองทัพวานรของพระรามอยู่. ฝั่งสุวรรณภูมิในตำแหน่งของประเทศอินโดนีเซีย มีแสดงให้เห็นตัวละครและเนื้อหาที่คล้ายคลึงกัน จะเห็นได้ว่า มหากาพย์รามายณะเป็นที่นิยมมากในสุวรรณภูมิ เพราะมีคติข้อคิดเรื่องความภัคดี มั่นคง ความอดทน ความเสียสละ ถือได้ว่าเป็นกาพย์ที่สอนศีลธรรมจรรยาในเรื่อง “ธรรมย่อมชนะอธรรม” ส่วนมหากาพย์มหาภารตะแต่งโดยฤาษีเวทวยาส กล่าวถึงการทำสงครามกันระหว่างพี่น้องสองตระกูล ได้แก่ตระกูลเการพ และตระกูลปาณฑพ ทั้งสองต่างสืบเชื้อสายมาจากตระกูลเดียวกัน ถึงสุดท้ายตระกูลปาณฑพจะชนะแต่ก็สูญเสียญาติไปมากมาย ภาพของธณฤษภ์แสดงให้เห็นรถศึกของอรชุนที่พุ่งไปในสนามรบ บริเวณใจกลางที่ราบลุ่มแม่น้ำของอินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนเมืองโบราณ
สุดท้าย กำเนิดอาณาจักร ยังได้แสดงให้เห็นถึงการเผยแพร่พุทธศาสนาจากชมพูทวีปมายังสุวรรณภูมิ บริเวณกึ่งกลางภาพด้านบนหรือในตำแหน่งของประเทศเนปาลในปัจจุบัน ศิลปินได้นำเสนอภาพพุทธประวัติของสมเด็จองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ใกล้กันก็เป็นเสาของพระเจ้าอโศกมหาราชที่ใช้เป็นสัญลักษณ์การประกาศศาสนา บริเวณกลางภาพจิตรกรรม จะพบเรือที่หลายลำที่ต่างมุ่งหน้าไปทางสุวรรณภูมิ มีเรือหนึ่งลำที่ศิลปินวาดซ้ำสองครั้งอย่างตั้งใจ คือ เรือที่พระโสณเถระและพระอุตตรเถระเดินทางมายังดินแดนสุวรรณภูมิ เพื่อเผยแผ่พุทธศาสนาในปี พ.ศ. 287 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อชำระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์จากพวกเดียรถีย์ที่เข้ามาบวชปลอม จึงได้เกิดการสังคายนาครั้งที่ 3 ในส่วนของดินแดนจีนซึ่งแต่เดิมนับถือศาสนาเต๋าของเล่าจื้อและลัทธิหยูของขงจื้อ ศิลปินก็ได้แสดงให้เห็นว่า ศาสนาพุทธได้ถูกเผยแพร่เข้าไป ตั้งแต่ 220-250 ปีก่อนคริสตกาล และใน พ.ศ. 610 จักรพรรดิเม้งตี้ฮ่องเต้ได้ส่งคณะทูตไปสืบหาพระพุทธศาสนาทางตะวันตกเฉียงใต้ตอนล่าง ซึ่งก็คือ มณฑลซินเจียง จนได้คัมภีร์จำนวน 42 บทกับพระภิกษุ 2 รูปกลับราชสำนักจีน แต่ช่วงเวลาที่จะเกิดพระในอมตะนิทาน “ไซอิ๋ว” คือช่วง พ.ศ.1172 สมัยพระเจ้าถังไท้จงได้ส่งหลวงจีนเหี้ยนจงหรือ “พระถังซำจั๋ง” ได้ออกแสวงบุญจนทั่วอินเดียพร้อมศิษย์เอกเห้งเจีย ตือโป๊ยก่าย และซัวเจ๋ง รวมไปถึงการถือกำเนิดพระโพธิสัตว์กวนกิมที่ได้รับอิทธิพลจากสายมหายาน ที่เกิดเข้าใจผิดว่าท่านมีกายเป็นหญิงแท้จริงเป็นเพียงการแปลงกายไปโปรดสัตว์ให้เหมาะสมกับสถานที่
ธณฤษภ์ ทิพย์วารี ได้กล่าวไว้ว่า
“ท้ายที่สุดของการเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสุวรรณภูมิให้ปรากฏเป็นภาพจิตรกรรมขนาดใหญ่. ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกยิ่งใหญ่ตามขนาดของภาพ. ในทางตรงกันข้าม. ผมกลับรู้สึกว่า ตัวเองเล็กลงเรื่อยๆ ยิ่งอ่าน ยิ่งเขียนภาพ ผมก็ตระหนักได้ว่า ผมเป็นเพียงคนๆหนึ่งที่มีอายุขัยในช่วงเวลาสั้นๆ ของสุวรรณภูมิ วันใดวันหนึ่งก็ต้องล้มหายตายจากไป. ส่วนดินแดนแห่งนี้ก็จะยังคงมีผู้คนพลัดเปลี่ยนเข้าเพื่อสร้างสรรค์และเจริญเติบโตต่อไป”
รายการอ้างอิง
จิตรา ก่อนันทเกียรติ. พระพุทธ พระโพธิสัตว์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของจีน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จิตรา, 2542.
บัญชา พงษ์พานิช. สุวรรณภูมิ ภูมิอารยธรรมเชื่อมโลก. กรุงเทพฯ: ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์, 2562.
ปรีชา นุ่นสุข. อิทธิพลของมหากาพย์รามายณะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, 2524.
พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย. กรุงเทพฯ: บริษัทพิมพ์สวย, 2546.
วันวิสาข์ ธรรมานนท์. ประวัติศาสตร์และโบราณคดีอินเดียสมัยโบราณ. ปัตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, 2563.
สมเกียรติ โล่เพชรัตน์. วิเคราะห์ประวัติการนับถือศาสนาพุทธและศิลปะพระพุทธรูปในเอเชีย. กรุงเทพฯ: อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2546.
สัมภาษณ์ ธณฤษภ์ ทิพย์วารี, ศิลปินและอาจารย์มหาวิทยาลัย, 9 กรกฎาคม 2567.
ปรีชา นุ่นสุข, อิทธิพลของมหากาพย์รามายณะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, 2524), 16.
บัญชา พงษ์พานิช, สุวรรณภูมิ ภูมิอารยธรรมเชื่อมโลก (กรุงเทพฯ: ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์, 2562), 22.
พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย (กรุงเทพฯ: บริษัทพิมพ์สวย, 2546), 4.
เรื่องเดียวกัน, 5.
วันวิสาข์ ธรรมานนท์, ประวัติศาสตร์และโบราณคดีอินเดียสมัยโบราณ (ปัตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, 2563), 47.
พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย, 15.
ปรีชา นุ่นสุข, อิทธิพลของมหากาพย์รามายณะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, 24.
พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย, 17.
สมเกียรติ โล่เพชรัตน์, วิเคราะห์ประวัติการนับถือศาสนาพุทธและศิลปะพระพุทธรูปในเอเชีย (กรุงเทพฯ: อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2546), 385.
จิตรา ก่อนันทเกียรติ, พระพุทธ พระโพธิสัตว์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของจีน, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จิตรา, 2542), 39.
สัมภาษณ์ ธณฤษภ์ ทิพย์วารี, ศิลปินและอาจารย์มหาวิทยาลัย.