Golden Teardrop
- EXHIBITION DATE : NOV 9, 2025 - FEB 15, 2026
TAGS
No tags found.
Golden Teardrop คือผลงานที่เดินทางข้ามเวลาและพรมแดน สะท้อนเรื่องราวของความทรงจำ วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่ซ่อนอยู่ในสิ่งเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน อริญชย์ รุ่งแจ้ง สร้างสรรค์ผลงานนี้ขึ้นครั้งแรกในปี 2013 เพื่อจัดแสดงในงาน Venice Biennale โดยใช้ “ทองหยอด” ขนมไทยซึ่งมีรากมาจากวัฒนธรรมโปรตุเกส เป็นสัญลักษณ์ของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและแรงงานในยุคอาณานิคม วัตถุที่ดูเรียบง่ายนี้จึงกลายเป็นภาชนะของเรื่องราวที่ผสานทั้งความงาม ความขม และความทรงจำทางประวัติศาสตร์
ต่อมา Golden Teardrop (2568) ได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในบริบทของ MOCA BANGKOK เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและสถาบัน ผ่านมุมมองของพิพิธภัณฑ์เอกชนที่ก่อตั้งขึ้นจากแรงศรัทธาและความรักในศิลปะของบุญชัย เบญจรงคกุล และได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี การกลับมาของผลงานในครั้งนี้จึงมิใช่เพียงการจัดแสดงซ้ำ หากแต่เป็นการเปิดบทสนทนาใหม่ ว่าศิลปะไทยร่วมสมัยได้เติบโต เคลื่อนไหว และนิยามตนเองอย่างไรภายในโครงสร้างของสถาบันศิลปะในยุคปัจจุบัน
นิทรรศการแบ่งการจัดแสดงออกเป็นสี่ส่วนหลัก ซึ่งร่วมกันถักทอเรื่องราวของ Golden Teardrop ให้เป็นประสบการณ์เดียวที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
โถงอเทรียม (Atrium)
นำเสนอผลงาน Golden Teardrop (2568) ที่สร้างขึ้นใหม่เป็นพิเศษสำหรับ MOCA BANGKOK ในรูปแบบประติมากรรมจัดวางเฉพาะพื้นที่จากทองเหลืองจำนวน 2,774 ชิ้น แขวนลอยอยู่กลางอากาศอย่างมีจังหวะ ผลงานชิ้นนี้สะท้อนพลังแห่งระเบียบ ความงามของฝีมือ และการไตร่ตรองถึงบทบาทของพิพิธภัณฑ์ในฐานะพื้นที่แห่งการรับรู้และการตีความ
ห้องหมุนเวียน 1
จัดแสดง The Making of Golden Teardrop ถ่ายทอดกระบวนการสร้างสรรค์ในช่วง Venice Biennale ผ่านภาพบันทึกเบื้องหลังและเสียงของผู้คนที่มีส่วนร่วมในผลงาน
ห้องหมุนเวียน 2
จัดแสดงผลงานต้นฉบับ Golden Teardrop (2556) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย แสดงให้เห็นรากทางความคิดและโครงสร้างการเล่าเรื่องที่ยังคงเป็นหัวใจของงานมาจนถึงปัจจุบัน
ห้องหมุนเวียน 3
นำเสนอวิดีโอสัมภาษณ์ศิลปิน ถ่ายทอดแนวคิดและแรงบันดาลใจในการสร้างผลงาน ที่เชื่อมโยงศิลปะเข้ากับชีวิต ความเชื่อ และความทรงจำของมนุษย์
Golden Teardrop จึงเป็นนิทรรศการที่เปิดพื้นที่ให้ศิลปะและผู้ชมได้พบกันอีกครั้ง ในจุดที่อดีตและปัจจุบันมาบรรจบกันอย่างเงียบงาม
Golden Teardrop คือผลงานที่เดินทางข้ามเวลาและพรมแดน สะท้อนเรื่องราวของความทรงจำ วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่ซ่อนอยู่ในสิ่งเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน อริญชย์ รุ่งแจ้ง สร้างสรรค์ผลงานนี้ขึ้นครั้งแรกในปี 2013 เพื่อจัดแสดงในงาน Venice Biennale โดยใช้ “ทองหยอด” ขนมไทยซึ่งมีรากมาจากวัฒนธรรมโปรตุเกส เป็นสัญลักษณ์ของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและแรงงานในยุคอาณานิคม วัตถุที่ดูเรียบง่ายนี้จึงกลายเป็นภาชนะของเรื่องราวที่ผสานทั้งความงาม ความขม และความทรงจำทางประวัติศาสตร์
ต่อมา Golden Teardrop (2568) ได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในบริบทของ MOCA BANGKOK เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและสถาบัน ผ่านมุมมองของพิพิธภัณฑ์เอกชนที่ก่อตั้งขึ้นจากแรงศรัทธาและความรักในศิลปะของบุญชัย เบญจรงคกุล และได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี การกลับมาของผลงานในครั้งนี้จึงมิใช่เพียงการจัดแสดงซ้ำ หากแต่เป็นการเปิดบทสนทนาใหม่ ว่าศิลปะไทยร่วมสมัยได้เติบโต เคลื่อนไหว และนิยามตนเองอย่างไรภายในโครงสร้างของสถาบันศิลปะในยุคปัจจุบัน
นิทรรศการแบ่งการจัดแสดงออกเป็นสี่ส่วนหลัก ซึ่งร่วมกันถักทอเรื่องราวของ Golden Teardrop ให้เป็นประสบการณ์เดียวที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
โถงอเทรียม (Atrium)
นำเสนอผลงาน Golden Teardrop (2568) ที่สร้างขึ้นใหม่เป็นพิเศษสำหรับ MOCA BANGKOK ในรูปแบบประติมากรรมจัดวางเฉพาะพื้นที่จากทองเหลืองจำนวน 2,774 ชิ้น แขวนลอยอยู่กลางอากาศอย่างมีจังหวะ ผลงานชิ้นนี้สะท้อนพลังแห่งระเบียบ ความงามของฝีมือ และการไตร่ตรองถึงบทบาทของพิพิธภัณฑ์ในฐานะพื้นที่แห่งการรับรู้และการตีความ
ห้องหมุนเวียน 1
จัดแสดง The Making of Golden Teardrop ถ่ายทอดกระบวนการสร้างสรรค์ในช่วง Venice Biennale ผ่านภาพบันทึกเบื้องหลังและเสียงของผู้คนที่มีส่วนร่วมในผลงาน
ห้องหมุนเวียน 2
จัดแสดงผลงานต้นฉบับ Golden Teardrop (2556) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย แสดงให้เห็นรากทางความคิดและโครงสร้างการเล่าเรื่องที่ยังคงเป็นหัวใจของงานมาจนถึงปัจจุบัน
ห้องหมุนเวียน 3
นำเสนอวิดีโอสัมภาษณ์ศิลปิน ถ่ายทอดแนวคิดและแรงบันดาลใจในการสร้างผลงาน ที่เชื่อมโยงศิลปะเข้ากับชีวิต ความเชื่อ และความทรงจำของมนุษย์
Golden Teardrop จึงเป็นนิทรรศการที่เปิดพื้นที่ให้ศิลปะและผู้ชมได้พบกันอีกครั้ง ในจุดที่อดีตและปัจจุบันมาบรรจบกันอย่างเงียบงาม


